คิดอยู่หลายวันว่าจะเขียนถึงเรื่องนี้ดีมั้ย?

แต่พอลองไตร่ตรองอย่าถี่ถ้วน ตกผลึกได้ว่า ท้ายที่สุดเรื่องนี้คงจะเป็นอุทาหรณ์ให้กับบางคนได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

วันที่ 27 พฤษภาคม 2561 เวลา 20.06 แม่โทรจากต่างจังหวัด มาบอกว่าบอกว่า น้าโดนรถชน เลือดออกปาก จมูก อยากให้ป้า ไปดูอาการหน่อยว่าเป็นอย่างไร เพราะโทรไปหาป้า ป้าไม่รับสาย จึงอยากให้เราช่วยติดต่อให้ ผ่านช่องทางอื่นๆ

คุยกัน ประมาณ 40 วินาทีก็วางสาย เพื่อที่เราจะได้ติดต่อไปทางป้าเราในทันที

เราตัดสินใจโทรหาพี่สาวเพราะ น่าจะติดต่อง่ายกว่า แต่ไม่มีคนรับสาย จึงโทรหาพี่เขยอีกที คราวนี้โทรติด และแจ้งข่าวในทันที

หลังจากป้าเราทราบข่าวก็รีบเดินทางไปยังบางปลาในทันที

ช่วงดึกวันนั้นแม่โทรหาเราอีกครั้งเพื่อสอบถามว่า ป้าเดินทางไปถึงโรงพยาบาลหรือยัง เราจึงแจ้งไปว่าป้าทราบข่าวและกำลังเดินทางไปแล้วไม่น่าจะมีอะไรน่าเป็นห่วง

เช้าตรู่วันที่ 28 พฤษภาคม 2561 เราได้ยินเสียงโทรศัพท์สั่น เป็นเบอร์โทรศัพท์ของป้าเราที่โทรเข้ามา

เรารับสาย

แต่ไม่ได้ยินเสียงอะไร จึงโทรกลับ แต่ไม่มีคนรับสาย เลยกดวางสายไป

เวลานี้ยังเช้าอยู่มาก เช้าเกินกว่าที่จะโทรมาเพื่อพูดคุยเรื่องทั่วไป

เราเห็นการแจ้งเตือนจาก แอพ Messenger

พี่ชายเราแจ้งข่าวให้ทุกคนทราบตอน 04.16 ของวันที่ 28 พฤษภาคม 2561 ว่าน้าของเราเสียแล้ว เราจึงต้องโทรหาพี่ชายเพื่อยืนยันข้อมูล จึงทราบว่าน้าของเรายังไม่เสียซะทีเดียว แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้แล้ว ร่างกายไม่ตอบสนอง มีเลือดคั่งในสมอง หมอบอกว่ารอเวลาให้ไปอย่างเดียว

น้าเราย้ายโรงพยาบาลจากโรงพยาบาลบางพลีมาที่โรงพยาบาลเลิดสิน เราไปเยี่ยมน้าเราได้เย็นวันนั้น

ภาพที่เห็นคือ น้าเรานอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง มีเครื่องช่วยหายใจ สอดเข้าไปทางปาก มือและเท้ายังอุ่น

28 พฤษภาคม 2561

ผ่านมาอีกวันเราไปเยี่ยมน้าเราอีกครั้งในช่วงเย็น แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม

มือเท้าเย็น เท้าเปลี่ยนเป็นสีม่วงช้ำ

และเที่ยงคืนวันเดียวกันนั้นเอง น้าเรา ก็จากเราไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ด้วยวัยเพียง 46 ปี

เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้น

ถ้าวันนั้น

วัยรุ่นอายุ 17 ไม่เมา แล้วขับจักรยานยนต์ มาชนน้าเรา

คนในเหตุการณ์เล่าว่า น้าเรากำลังเดินข้ามถนน แล้วเค้าก็พุ่งมาชน

น้าเรากระเด็น คนในเหตุการณ์ วิ่งเข้าไปช่วยทันที

รถพุ่งชนเข้ากลางอก น้าเรากระอักเลือด และหยุดหายใจจากตรงนั้นไปแล้วขณะหนึ่ง

เมื่อรถกู้ภัยมาถึง น้าเรายังมีอาการดิ้น ทุรนทุราย บนรถอีก

ถึงโรงพยาบาล น้าเราหยุดหายใจอีกครั้ง ป้าเราขอร้องให้หมอปั๊มหัวใจ และยื้อไว้เพื่อรอ ญาติๆ มาดูใจ

วัยรุ่นคนนั้นจะรู้มั้ยว่า เค้าไม่พรากแค่ชีวิตคนหนึ่งคน แต่เค้าเอาเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม ไปจากเราด้วย

น้าของเราอาจจะไม่ใช่คนสวย คนดีเลิศเลอ หรือประสบความสำเร็จมากกว่าใครๆ

แต่รับประกันได้เลยว่าน้าของเราสามารถมอบรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้ได้อย่างไม่มีวันหมด และไม่แพ้ใครแน่นอน

ตลอดชีวิตของน้าเรา น้าเราให้อะไรเราหลายอย่าง เลี้ยงเรามาก็ไม่น้อย

เสียใจที่ยังไม่ได้ดูแล ไม่ได้ทดแทน เคยคุยกันไว้ว่า หลังน้องเราเรียนจบ น้าเราทำงานไม่ไหว แก่เฒ่าไป จะให้ไปอยู่บ้านนอก ไม่ต้องดิ้นรนอะไรแล้ว

แต่ความฝันนี้คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว

วันนี้น้ามาจากเป้งไป แบบกะทันหัน

เจอกันครั้งล่าสุด ยังคุยกันอยู่เลย ว่าชีวิตในบั้นปลายของเราทั้งคู่ ก็คงจะคล้ายๆกัน เป้าหมายของเราคือเมื่อคนรอบตัวสบาย เลี้ยงดูตัวเองได้ เราจะกลับไปอยู่บ้านนอก จะไม่เป็นภาระใครและ ใช้ชีวิตช่วงสุดท้าย เรียบๆ ง่ายๆ

แต่ก็นั่นแหละ ไม่มีอีกแล้ว

เข้าใจนะว่าเป็นเรื่องธรรมชาติของชีวิต มีเกิด มีตาย เป็นธรรมดา

แต่อดคิดไม่ได้ว่า ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดกับเรา

อายุยังไม่ครบสิบ เรียนอนุบาลยังไม่จบดี พ่อก็มาตายจาก กลายเป็นเด็กกำพร้า

ไม่กี่ปีต่อมาก็ยาย

เรียนจบไม่เท่าไหร่ตา ก็จากไป

ปีก่อนก็น้า

ปีนี้น้าอีกคนก็จากไป

เคยคิดและเตรียมใจสำหรับเรื่องแบบนี้แล้ว

เพียงแต่ ไม่คิดว่าจะมาถึงเร็วขนาดนี้

รัก และจะคิดถึงเสมอนะ น้าน้อย

ขอบคุณที่เลี้ยงดูมา เป้งวาสนาน้อย ไม่มีโอกาสได้ทดแทนพระคุณ

จากนี้คงทำได้แค่ ทำบุญกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้

แด่รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ที่หายไปตลอดกาล